หน้าเว็บ

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีการดูแลเส้นผม

1. ห้าม ใช้เล็บเกาหนังศีรษะเด็ดขาด
หลายๆคนเวลาสระผม(รวมทั้งช่างทำผมบางร้าน) ชอบใช้เล็บเกาแกรกๆๆๆ ซึ่งไม่ควรทำค่ะ มันจะเป็นการขูดขีดทำร้ายหนังศีรษะโดยตรง ยิ่งสาวๆเล็บยาวๆนี่ น่ากลัวมั่กๆ ดีไม่ดีหนังศีรษะเป็นแผลพาลติดเชื้อสารพัดได้นะคะ ทางที่ดีเวลาสระผมให้ใช้ปลายนิ้วค่ะ คันมากก็นวดแรงหน่อยได้ นวดๆๆๆหนังศีรษะให้สะอาด ซึ่งเป็นการช่วยให้โลหิตหมุนเวียนไปในตัวด้วยค่ะ

2. ห้าม ใช้ผ้าขนหนูขยี้ผม
เห็นในโฆษณาหลายๆชิ้น นางแบบสระผมแล้วใช้ผ้าขนหนูขยี้ๆๆๆผมเปียกๆแบบเมามันแล้วเราก็สยอง แถมเห็นมากะตาตัวเองก็หลายครั้งค่ะ ว่าสาวๆใช้ผ้าขนหนูขยี้ๆๆๆกะว่าเอาให้ผมแห้งคามือเร็วๆ จริงๆแล้วผ้าขนหนูมีไว้ ซับ น้ำออกจากผมค่ะ แค่ซับๆก็พอ ที่เหลือปล่อยให้แห้งเอง หรือใช้พัดลมเป่าก็ได้ค่ะ อย่าใจร้อน การขยี้จะเป็นการทำให้เกล็ดผมเสียดสีกัน ยิ่งผมเปียกจะอ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งทำให้ผมเสียง่ายค่ะ



3. ห้าม หวีผมขณะเปียก
ตอนผมเปียกเส้นผมจะอ่อนแอค่ะ ความยืดหยุ่นจะน้อย ถ้ายิ่งเอาหวีซี่ถี่ๆไปหวี จะยิ่งทำร้ายผม งานนี้ก็แตกปลาย ขาดกลางตามมา ถ้าทนไม่ไหวอยากหวีจริงๆใช้หวีซี่ห่างๆดีกว่าค่ะ หรือใช้มือค่อยๆสางเอา ปกติแล้วถ้าตอนสระผมคุณระวังๆหน่อยไม่ขยี้ผมจนพันกัน ค่อยๆนวดหนังศรีษะ ค่อยๆล้างฟองแชมพูออก และค่อยๆซับน้ำจากผม คุณจะแทบไม่ต้องหวีเลยค่ะ ผมเรายาวถึงเอวนะคะ แต่ไม่เคยต้องหวีหลังสระค่ะ มันจะเรียงตัวเองตอนหลังสระใหม่ๆเพราะระวังตอนสระดีแล้ว



4. ใช้ ครีมหมักผมแทนครีมนวดผม
นี่เป็นสิ่งที่เราทำมานานแล้วค่ะ ใช้ครีมหมักข้นๆแบบกระปุกนั่นแหละค่ะแทนครีมนวดขวดๆเหลวๆ ยี่ห้อไหนก็ตามศรัทธา ครีมแบบนี้จะเข้มข้นกว่าค่ะ บำรุงผมได้ดีกว่า โดยสระผมก่อนหมักทิ้งไว้ แล้วค่อยอาบน้ำ แปรงฟัน ขัดตัว ขัดหน้า ฯลฯ สุดท้ายก็ล้างครีมหมักออกจะพอดีกันค่ะ ยี่ห้อที่เราชอบจะเป็นโดฟกับโลแลนค่ะ(ถูกดี ฮี่ๆๆ)



5. พก กรรไกรเล็กๆไว้คอยเล็มผมแตกปลาย
สาวๆผมยาวแตกปลาย อย่าเห็นผมแตกปลายแล้วเด็ดปลายทิ้งนะคะ ยิ่งผมเสียไปกันใหญ่ พกกรรไกรเล็กๆคมๆไว้เล็มดีกว่าค่ะ (แต่ดูกาละเทศะด้วยเน้อ งัดออกมาเล็มกลางห้องประชุมคงไม่ค่อยเหมาะแน่) ค่อยๆเล็มไปค่ะ ผมที่แตกปลายแล้วจะไม่มีทางกลับมาติดกันได้อีกอย่างแน่นอน(ยกเว้นเอากาวทา 555) เสียแล้วเสียเลยค่ะ ต้องเล็มทิ้งเท่านั้น อย่าไปเชื่อโฆษณาที่ว่าแก้ผมแตกปลายได้ โม้ทั้งเพค่ะ เล็มทิ้งแล้วค่อยบำรุงใหม่เท่านั้นคือคำตอบ



6. ใช้ น้ำมันหมักผมก่อนสระ
วันไหนว่างๆลองใช้น้ำมันหมักผมดูค่ะ เลือกตามใจชอบ เราลองมาแล้วทั้งน้ำมันมะพร้าว(แบบสกัดเย็นนะคะ จะหอมหวานๆน่ากินมั่กๆ) น้ำมันมะกอก(ที่ขายในซุปเปอร์นั่นแหละค่ะ เลือกแบบเวอร์จิ้นออย) น้ำมันงา (ตามที่ขายของโอท็อปจะมีแบบไว้หมักผมค่ะ) ยกเว้นน้ำมันหมูยังไม่เคยค่ะ -_-" หมักตอนผมแห้งๆนั่นแหละค่ะ ทิ้งไว้สัก 30 นาทีขึ้นไป แล้วสระตามปกติ (พี่คนข้างๆแนะว่าถ้าผมเสียมากให้ใส่ไข่แดง 1 ฟองด้วยค่ะ ผมพี่เค้าสวยปิ๊งเลย แต่เราเหม็นอ่ะ ฮือๆๆ)ถ้าใครผมมันมากก็ไม่ต้องใส่ครีมนวดผมก็ได้ค่ะ ผลที่ได้คือจะทำให้ผมนิ่มมีน้ำหนักขึ้น แต่วิธีนี้ไม่แนะนำสำหรับสาวผมดัดนะคะ เพราะอาจทำให้ลอนคลายเร็วขึ้น

ความหมาย TacitและExplicit

Tacit knowledge (ความรู้ฝังลึก)
เป็นความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล อันเกิดจากการสั่งสม ประสบการณ์การเรียนรู้หรือพรสวรรค์ต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล


Explicit knowledge (ความรู้เด่นชัด)
เป็นความรู้เปิดเผยที่ถูกเก็บรวบรวมไว้อยู่ในหนังสือเอกสาร คอมพิวเตอร์ เป็นต้น


ความรู้ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 จะเป็นความรู้ประเภท tacit knowledge ซึ่งเป็นความรู้ที่สื่อสาร หรือ ถ่ายทอด ด้วยลายลักษณ์อักษรได้ยาก แต่สามารถแบ่งปันกันได้ ส่วน อีกร้อยละ 20 เป็นความรู้ประเภท explicit knowledge ซึ่งเปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำมาให้เห็นเพียงประมาณร้อยละ 20จากส่วนที่เหลือใต้พื้นน้ำที่มองไม่เห็นอีกประมาณร้อยละ 80


แต่คนที่มี tacit knowledge บางคนก็ขาดเทคนิควิธีการถ่ายทอดความรู้ หรือบางคนก็ไม่อยากจะถ่ายทอดความรู้ให้ใคร และองค์กรก็ยังไม่มีการสร้างกลไกหรือเงื่อนไขให้บุคลากรได้แบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพื่อทำให้ความรู้งอกงามขึ้นหรือทำให้ tacit knowledge กลายเป็น explicit knowledge จึงทำให้ tacit knowledge อันมีคุณค่าของแต่ละคนถูกละทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

วงจรสร้างความรู้ (Knowledge Spiral : SECI Model)






Socialization
การแบ่งปันและสร้างความรู้ จาก Tacit Knowledge ไปสู่ Tacit Knowledgeโดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงของผู้ที่สื่อสารระหว่างกัน


Externalization
การสร้างและแบ่งปันความรู้จากการแปลง Tacit Knowledge เป็น Explicit Knowledge โดยเผยแพร่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร


Combination
การแบ่งปันและสร้างความรู้ จาก Explicit Knowledge ไปสู่ Explicit Knowledge โดยรวบรวมความรู้ประเภท Explicit ที่เรียนรู้ มาสร้างเป็นความรู้ประเภท Explicit ใหม่ๆ


Internalization
การแบ่งปันและสร้างความรู้ จาก Explicit Knowledge ไปสู่ Tacit Knowledge โดยมักจะเกิดจากการนำความรู้ที่เรียนรู้มาไปปฏิบัติจริง


การเรียนรู้และพัฒนาองค์ความรู้ที่วนเวียนในลักษณะอย่างนี้ไปเรื่อยๆอยู่ตลอดเวลาดังแสดงในรูปข้างบนนั้นท้ายที่สุดความรู้จะอยู่ที่ตัวคน Tacit Knowledge เรียกวงจรสร้างความรู้นี้ว่า SECI Model (อ่านออกเสียงในลักษณะภาษาญี่ปุ่น)

องค์ประกอบสำคัญของวงจรสร้างความรู้
1.คน ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก
- เป็นแหล่งความรู้
- เป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
2.เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บแลกเปลี่ยน นำความรู้ไปใช้ได้อย่างง่ายและรวดเร็วขึ้น
3.กระบวนการความรู้ เป็นการบริหารจัดการเพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุงและการสร้างนวัตกรรม


คุณค่าของ “ความรู้”
“ความรู้เป็นสินทรัพย์ใช้แล้วไม่มีวันหมด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม ยิ่งใช้มากเท่าไร ยิ่งมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น”
ความหมายการจัดการความรู้
The World Bank : เป็นการรวบรวมวิธีปฏิบัติขององค์กรและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ การสร้าง การนำมาใช้ และเผยแพร่ความรู้และบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ

European Foundation for Quality Management (EFQM): วิธีการจัดการความรู้เป็นกลยุทธ์และกระบวนการในการ จำแนก จัดหาและนำความรู้มาใช้ประโยชน์ เพื่อช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

The US Department of Army : การจัดการความรู้เป็นแผนการที่เป็นระบบและสอดคล้องกันในการ จำแนก บริหารจัดการ และแลกเปลี่ยนสารสนเทศต่างๆ ซึ่งได้แก่ฐานข้อมูล เอกสาร นโยบายและขั้นตอนการทำงานรวมทั้งประสบการและความชำนาญต่างๆ ของบุคคลากรในองค์กร โดยเริ่มจากการรวบรวมสารสนเทศและประสบการณ์ต่างๆ ขององค์กร เพื่อเผยแพร่ให้พนักงานสามารถเข้าถึงและนำไปใช้

ก.พ.ร. : การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบเพื่อให้ทุกคนในองค์การสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์การมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด
การจัดการความรู้

โดยสรุปขอยกความหมายของการจัดการความรู้ที่ นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ให้ไว้ คือ “ กระบวนการที่ดำเนินการร่วมกัน โดยผู้ปฏิบัติงานในองค์กรหรือหน่วยงานย่อยขององค์กร เพื่อสร้างและใช้ความรู้ในการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ดีขึ้นกว่าเดิม ” โดยมีเป้าหมายพัฒนางานและคน
การบริหารจัดการเพื่อให้ “คน” ที่ต้องการใช้ความรู้ได้รับความรู้ที่ต้องการใช้ ในเวลาที่ต้องการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการทำงาน นั้นคือ
Right Knowledge : ความรู้ที่ถูกต้อง
Right People : เหมาะกับบุคคลนั้น
Right Time : ทันเวลาหรือถูกเวลา

ออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือด

วิธีออกกำลังกายให้เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือดที่แตกต่าง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ ไม่ทำให้ร้ายกล้ามเนื้อเพราะการออกกำลังกายอย่างหักโหม
วันนี้ ยืดเส้นยืดสาย เตรียม

เริ่มจากเลือดกรุ๊ปเอ ควรออกกำลังกายแบบช้า ๆ ออกแรงไม่มาก เช่น โยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง เพราะมีโครงกระดูกเล็ก หักง่าย สืบเนื่องจากอาหารที่เหมาะสมของคนเลือดกรุ๊ปเอ คือ อาหารประเภทมังสวิรัติ หรือรับประทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย

ส่วนเลือดกรุ๊ปบี ที่รับประทานอาหารทั้งผักทั้งเนื้อสัตว์ได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน จึงมีความว่องไว ให้ออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่หักโหมหรือเชื่องช้าเกินไป เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ กอล์ฟ ปิงปอง


สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปเอบี เปรียบเสมือนส่วนผสมของกรุ๊ปเอและบี ให้สังเกตตนเองว่ามักเลือกรับประทานอาหารของกรุ๊ปเอ หรือกรุ๊ปบีมากกว่ากัน เมื่อทราบแล้วก็ให้ออกกำลังกายตามลักษณะของเลือดกรุ๊ปนั้น แต่ก็ควรเพิ่มการออกกำลังกายในแบบที่เหมาะกับเลือดอีกกรุ๊ปด้วย เช่น มักรับประทานผักและผลไม้อย่างคนเลือดกรุ๊ปเอ ก็ให้ออกกำลังกายแบบช้า ๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปบีบ้าง

ขณะที่คนเลือดกรุ๊ปโอ เหมาะสมกับการออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงมาก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วิ่งทางไกล ชกมวย เนื่องจากสภาพร่างกายสามารถบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงและผักได้ในปริมาณมาก ทำให้มีโครงกระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับแน่น

ไม่ว่าคุณจะมีเลือดอยู่ในกรุ๊ปใด ต้องไม่ลืมการเดินเร็ว 10 นาที หลังจากออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังควรออกมายืดเส้นยืดสายเคลื่อนไหวร่างกายให้ผิวหนังถูกแสงแดดราว 20 - 30 นาที ในช่วงเวลา 11.00 - 14.00 น. เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีรังสียูวีในระดับเข้มข้น ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดี 3 เพื่อช่วยลำเลียงแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ ไปยังกระดูก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง หากไม่ได้ออกมารับแสงแดดด้วยการนอนอาบแดดอยู่เฉย ๆ กับที่ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง.

การดูแลสุขภาพดวงตา


วิธีการถนอมดวงตา
วันหนึ่งนายแพทย์เบตส์กลับจากทำงานด้วยดวงตาอันอ่อนล้า เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานในห้องที่ยังไม่ได้เปิดไฟวางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะโค้งอุ้งมือทั้งสองวางครอบดวงตาของตนหลับตาพักผ่อนในท่านั้นอยู่สิบนาทีพอลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเขารู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยดวงตาหายไปแถมมองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้องชัดเจนขึ้นกว่าเก่าอีกด้วย จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวนายแพทย์เบตส์ได้ค้นคิดวิธีการฝึกสายตาอย่างธรรมชาติ เพื่อพักผ่อนกล้ามเนื้อตาและช่วยรักษาสายตาให้ดีขึ้น นายแพทย์เบตส์เขียนหนังสือชื่อ Perfect Sight without Glasses เป็นที่นิยมแพร่หลาย แม้ภายหลังเขาเสียชีวิต แต่วิธีการของนายแพทย์เบตส์ยังได้รับการเผยแพร่โดยแพทย์ทั้งหลายทั่วยุโรปและอเมริกา "วิธีของเบตส์" มี 7 ท่าด้วยกัน ท่าที่ 1 ครอบดวงตา โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สัก 10 นาที ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่ สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใสมีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวยเห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจนสายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี ท่าที่ 3 กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา) กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้างทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย ท่าที่ 4 กะพริบตา ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก 3 นิ้ว (7.5 ซม.) โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา ตื่นนอนทุกเช้าใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น สัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การจบด้วยน้ำเย็นทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้วักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่นจะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน ท่าที่ 7 แกว่งตัว ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวาถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกล ๆ แต่ไม่ต้องจ้องปล่อยให้จุดที่เรามองแกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัวท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พักและมีการปรับตัวดีขึ้น ทำ บ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้ "วิธีของเบตส์" ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตา ที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก ด้วยความปราถนาดีจากศูนย์แอ็ดวานส์เลสิค

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การดูแลผิวหน้า













สำหรับสาวๆที่ต้องการดูแลผิวหน้าให้สวยใสอยู่เสมอ ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดูกันเลย

เริ่มจาก นำสตรอว์เบอร์รี่ 3 ผล บดให้ละเอียด แล้วนำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา มาผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จึงล้างออก

สำหรับสตรอเบอรี่ อุดมไปด้วยวิตามินซี และแร่ธาตุที่ช่วยลดความหยาบกร้านของผิว หากพอกหน้าเป็นประจำจะช่วยให้ผิวหน้าดี ชุ่มชื้น และมีสุขภาพแข็งแรง

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความรู้(Knowledge) คืออะไร?

ความรู้ คือ สารสนเทศที่นำไปสู่การปฏิบัติ เป็นเนื้อหาข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย
ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ทฤษฎี หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด หรือข้อมูลอื่นๆ ที่มีความจำเป็น และเป็นกรอบของการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท สำหรับการประเมินค่า และการนำเอาประสบการณ์กับสารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมเข้าด้วยกัน


ชั้นของความรู้เป็นอย่างไร?

ข้อมูล (Data) เป็น ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล หรือเป็นกลุ่มของข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
สารสนเทศ (Information) เป็น ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการประมวลผลโดยรวบรวมและสังเคราะห์เอาเฉพาะข้อมูลที่มีความหมายและเป็นประโยชน์ต่องานที่ทำ
ความรู้ (Knowledge) เป็น ผลจากการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศ โดยมีการจัดระบบความคิด เสียใหม่ให้เป็น “ความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง”
ความเฉลียวฉลาด (Wisdom) เป็น การนำเอาความรู้ต่าง ๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อใช้ให้เกิดเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ
เชาวน์ปัญญา (Intelligence) เป็น ผลจากการปรุงแต่งและจดจำความรู้และใช้ความเฉลียวฉลาดต่าง ๆในสมอง ทำให้เกิดความคิดที่รวดเร็วและฉับไว สามารถใช้ความรู้และความเฉลียวฉลาดโดยใช้ช่วงเวลาสั้นกว่า หากนำเอามาจัดลำดับเป็นขั้นตอนของการเรียนรู้สำหรับมนุษย์แต่ละบุคคลจะได้ดังนี้
ประมวลผล Intelligence Data Information Knowledge Wisdom ขัดเกลา / เลือกใช้ บูรณาการ ปรับแต่ง / จดจำ


ประเภทของความรู้มีอะไรบ้าง

1. ความรู้ในตัวของมนุษย์หรือความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) หมายถึง ความรู้เฉพาะตัวที่เกิดจากประสบการณ์ การศึกษา การสนทนา การฝึกอบรม เจตคติของแต่ละบุคคล เป็นความรู้บวกกับสติปัญญาและประสบการณ์
2. ความรู้เชิงประจักษ์ที่ปรากฏชัดเจน (Explicit Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบุคคลออกมาในรูปของการบันทึกตามรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสารสนเทศนั่นเอง
3. ความรู้ที่เกิดจากวัฒนธรรม (Culture Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่เกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา ซึ่งเกิดจากผลสะท้อนกลับของความรู้ และสภาพแวดล้อมทั่วไปขององค์กร

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การดูแลสุขภาพตนเอง


โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ


การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ

เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่

การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค
การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย

ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม


การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สัญญานเตือนภัย...ใส่ใจดูแลตังเอง

ชีวิตสังคมเมืองที่เปลี่ยนไป ทำให้เรามีชีวิตที่แข่งชันกันสูงมากขึ้น วันๆต้องทำแต่งานกับงานจนมองข้ามสุขภาพร่างกายของตัวเองไป กว่า 10% ของคนเมืองมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็น “โรคออฟฟิศซินโดรม หรือคอมพิวเตอร์ซินโดรม” ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการทำงาน อันเป็นผลพวงให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา

อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้สูงกว่าปกติ ซึ่งจะผันแปรไปตามตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บริหารที่จะต้องทนรับกับแรงกดดันจากความรับผิดชอบหลายด้าน ไม่ว่าเรื่องลูกน้อง หรือการแข่งขันทางธุรกิจ ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว มีแนวโน้มต่อการถูกคุกคามด้วยโรคร้ายต่างๆ โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง โรคเครียด โรคนิ่งในถุงน้ำดี และโรคอ้วน เป็นต้น

สำหรับผู้ที่อายุ 25-39 ปี ก็หนีไม่พ้นโรคนี้เช่นกัน ด้วยสภาพการทำงานที่ต้องรีบเร่งล้วนมีส่วนทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ทั้งการใช้คอมพิวเตอร์วันละหลายๆ ชั่วโมง การอดอาหาร อดหลับอดนอนเพื่อให้งานเสร็จ ทำให้ร่างกายต้องแบกรับภาวะความตึงเครียด ปราศจาการการผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว

ลองให้เวลาตัวเองสักนิด หันกลับมาสำรวจความผิดปกติของร่างกาย จะได้รู้ว่าร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนภัยให้หันมาใส่ใจดูแลตัวเองได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข โดยทางโรงพยาบาลกรุงเทพของเรามีความห่วงใยและพร้อมที่จะดูแล ป้องกัน ให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพกับเหล่าชาวออฟฟิศทั้งหลาย ให้มีสุขภาพแข็งแรงและพร้อมที่จะสู้งานหนักต่อไป หากไม่ดูแลตัวเอง ก็ถึงขั้นพิการได้

10 โรคฮิตคนทำงานออฟฟิศ สำหรับนักบริหารรุ่นใหญ่จนถึงเด็กรุ่นใหม่ ที่มักเจอปัญหาสุขภาพ จากความเครียด การใช้คอมพิวเตอร์ และการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ซึ่งเราได้รวบรวมไว้ดังต่อไปนี้

40+ GALLSTONES นิ่วในถุงน้ำดี
การกินอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ อาจก่อให้เกิดนิ่งในถุงน้ำดี ซึ่งมักพบมากในผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปและคนอ้วนมักเป็นโรคนี้มากกว่าคนผอม โดยยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ส่งผลให้เกิดโรคนี้ เช่น กรรมพันธุ์ การอักเสบและการคั่งของน้ำดีในถุงน้ำดี การทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานานๆ โดยเมื่อเป็นนิ่วในถุงน้ำดีแล้ว ถ้าไม่รีบรักษาอาจจะก่อให้เกิดอาการเรื้อรังตามมาได้

สาวๆ CYSTITIS กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
สาวๆ ที่นั่งทำงานนานๆ จนบางครั้งลืมเข้าห้องน้ำ หรือบางทีก็ต้องเดินทางไกลทำให้ต้องอั้นปัสสาวะเป็นประจำ เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบซึ่งมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าไปทางท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการอักเสบ โดยโรคนี้พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

STRESS เครียดนอนไม่หลับ
โรคเครียด ถือเป็นโรคฮิตสำหรับคนวัยทำงานเลยทีเดียว ไม่ว่าคนที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ หรือทำงานมาเป็นสิบๆปี ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่ากำลังเผชิญอยู่กับภาวะเครียดรุมเร้า วิธีการหลีกเลี่ยงที่ง่ายมากก็คือ พยายามไม่เครียด รู้จักผ่อนคลายเสียบ้าง แค่คุณลองทิ้งงานไปเดินเล่นสัก 10 นาที ก็ถือว่าได้ผ่อนคลายแล้วบ้าง

40+ HYPERTENSION ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงภัยเงียบที่ไม่มีอาการ มักพบเมื่ออายุ 40 ปี ขึ้นไป ซึ่งเกิดจากปัจจัยบางอย่าง ได้แก่ การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้แบบไม่ทราบสาเหตุจะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนอื่นถึง 3 เท่า นอกจากนี้ยังเกิดจากโรคอ้วน ความเครียด การรับประทานอาหารรสเค็ม การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะในสำนักงานจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่ทำงานใช้กำลัง แต่ความดันโลหิตสูงไม่ใช่แค่เรื่องความดัน แต่อาจนำมาซึ่งเส้นเลือดแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย พิการ และหัวใจวาย อีกด้วย

OBESITY โรคอ้วน
ล่าสุดพบว่าโรคอ้วนเป็นกันมากขึ้นคนวัยทำงาน โดยเฉพาะพวกที่ชอบทำงานไปด้วยรับประทานไปด้วย ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ซึ่งผู้หญิงสามารถอ้วนได้ง่ายกว่าผู้ชาย โดยโรคอ้วนยังเป็นบ่อเกิดของโรคสำคัญๆ มากมาย เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในหลอดเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ผู้ที่เป็นโรคอ้วนควรดูแลใส่ใจเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษควรปรึกษาโภชนากร และควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

GERD กรดไหลย้อน
คนที่รับประทานไม่เป็นเวลา รีบมากจนเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด เครียดจัดจนอาหารไม่ย่อยและคนที่สูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าจัด มักเสี่ยงกับการเป็นโรคกรดไหลย้อน นอกจากนี้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มาเป็นสิบปี อาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารส่วนปลายได้อีกด้วย

CHRONIC BACK PAIN ปวดหลังเรื้อรัง
การใช้ชีวิตอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ 8 ชั่วโมง และใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ อาจเป็นสาเหตุสำคัญของอาการปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง แขน ขา และสะโพก อันเกิดเนื่องมาจากโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยและรักษาได้อย่างถูกต้อง

MIGRAINE ไมเกรน ปวดศีรษะเรื้อรัง
เคยรู้สึกไหมว่าเวลานั่งทำงานเครียดๆ จะรู้สึกปวดหัวบริเวณขมับด้านหน้าศีรษะหรือหลังต้นคอ นั่นคือสัญญาณเตือนให้คุณรู้ถึงสภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไมเกรน การพักผ่อนไม่เพียงพอ แสงแดด ความร้อนและขาดฮอร์โมนบางชนิดก็เป็นปัจจัยก่อให้เกดโรคนี้ได้เช่นกัน

HAND PAIN & NUMBNESS มือชา เอ็นอักเสบ นิ้วล็อค
ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ โรคฮิตในกลุ่มนักคอมพิวเตอร์ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการยึดจับสิ่งของ หรือเม้าส์ในท่าเดิมนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาท และเส้นเอ็นจนอักเสบจนเกิดพังผืดยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมากหรืออาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยังข้อมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท นิ้วล็อค หรือข้อมือล็อค ในปัจจุบันนี้หนุ่มสาวรุ่นใหม่มักมีอาการเจ็บปวดนิ้วหัวแม่มือเนื่องมาจากการใช้เครื่อง Blackberry หรือเครื่องเล่นอิเล็คทรอนิกส์ที่มีปุ่มเล็กๆ ซึ่งต้องเกร็งนิ้วเวลากด ทำให้เกิดอาการเส้นเอ็นอักเสบ ปวดตามข้อนิ้วได้ หรือที่เรียกกันว่า Blackberry Thumb

40+ GLAUCOMA ต้อหิน ตาพร่ามัว
1 ใน 10 ของคนอายุ 40 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคต้อหิน หรือกำลังเป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัว และที่อันตรายที่สุดคือ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตาจะบอดได้ สาเหตุเกิดจากการใช้สายตานานๆ การอักเสบหรือติดเชื้อของกระจกตาจากการใส่คอนแทคเลนส์ การที่มีความดันในลูกตาสั้นหรือยาวมากๆ ผู้ป่วยโรคต่อมไทรอยด์และกรรมพันธุ์ ดังนั้นควรตรวจตาเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อหิน และภัยร้ายต่างๆ ในดวงตาก็จะไม่ถามหาอีกด้วย